1. หน้าหลัก AroundBKK
  2. / บทความ
  3. / GADGETS & LIFESTYLE
  4. / ประกัน 3+ คืออะไร? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ในบทความนี้

ประกัน 3+ คืออะไร? รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ในบทความนี้

Published on ตุลาคม 12, 2023
SHARE
ประกัน 3+ คือ

“ประกันภัยรถยนต์” มีอยู่หลายแผนตามที่ทาง AroundBKK ได้นำมาเล่าสู่กันฟังไปในบทความต่าง ๆ ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่หัดขับหรือเพิ่งออกรถคันใหม่มา แนะนำให้เลือกเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 เพราะมีความคุ้มครองที่ครบครันที่สุด และแน่นอนว่ามันตามมาด้วยราคาเริ่มต้นที่สูงที่สุดเช่นกัน แต่ถ้าคุณขับรถมานานจนชำนาญนานแล้ว ใช้งานรถมานานหลายปี แทบไม่เคยเกินอุบัติเหตุใด ๆ หรือกำลังมองหาประกันภัยรถยนต์ราคาย่อมเยาอยู่ ขอบอกเลยว่าประกัน 3+ คือแผนประกันภัยรถยนต์ที่ตอบโจทย์สำหรับคุณอย่างมาก

ประกัน 3+ คืออะไร?

ประกัน 3+ คือ แผนประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุม รองลงมาจากประกันชั้น 2+ ซึ่งประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ จะรับผิดชอบความเสียหายของรถยนต์ ทรัพย์สิน ชีวิต การบาดเจ็บ และค่ารักษาพยาบาลทุกกรณี ทั้งในส่วนของผู้เอาประกัน บุคคลภายในรถ และคู่กรณีด้วย แต่จะไม่รับผิดชอบในกรณีที่รถของเราเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี

ประกันชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้าง?

แผนประกันภัยรถยนต์แต่ละชั้น มีความคุ้มครองแตกต่างกัน อย่างประกันภัยชั้น 1 จะคุ้มครองทุกอย่าง ทั้งค่าซ่อมแซมและเงินชดเชย, ประกันชั้น 2+ จะไม่คุ้มครองรถของคุณในกรณีที่ไร้คู่กรณี, ประกันรถยนต์ชั้น 2 ไม่คุ้มครองรถของเราเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น แต่ยังคุ้มครองในส่วนของไฟไหม้และการสูญหายอยู่ และประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 นั้น ไม่คุ้มครองรถของเราในทุกกรณี แล้วประกันชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้างล่ะ? มาเช็กกัน!

คุ้มครองความเสียหายของผู้เอาประกัน

  • คุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์ ในกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกที่สามารถแจ้งคู่กรณีได้ (บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถทั้งหมด รวมไปถึงชดเชยค่าอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ด้วยเช่นกัน)
  • คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกาย การบาดเจ็บ และการเสียชีวิต (บริษัทประกันจะชดเชยค่าสินไหมทดแทน พร้อมรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลให้)
  • คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่ ในกรณีผู้เอาประกันเป็นฝ่ายผิดในอุบัติเหตุครั้งนั้น (อาจจะมีการจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท)

คุ้มครองความเสียหายของบุคคลภายในรถ

  • บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่ารักษาพยาบาลให้แก่บุคคลภายในรถ สำหรับกรณีที่เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตขึ้น

รับผิดชอบความเสียหายของบุคคลภายนอก

  • รับผิดชอบความเสียหายของรถยนต์และทรัพย์สินของบุคคลภายนอก หรือคู่กรณี
  • คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกาย การบาดเจ็บ และชีวิตของบุคคลภายนอก หรือคู่กรณี

กรณีที่ประกัน 3+ ไม่คุ้มครองคือกรณีใด?

เราก็ได้ทราบไปแล้วว่าประกันชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้าง มาดูกรณีที่ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ไม่คุ้มกรองกันบ้างดีกว่า นั่นก็คือกรณีที่รถของผู้เอาประกันสูญหาย โดนไฟไหม้ โดนน้ำท่วม เจอภัยพิบัติ และเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี อย่างการชนกับเสาไฟฟ้า กำแพง ต้นไม้ ฟุตปาธ สะพาน ราวกั้น หิน ฯลฯ นั่นเอง

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ เหมาะกับใคร?

  • คนที่ไม่มีประวัติในการเคลมอุบัติเหตุเลย
  • คนที่ขับรถบ่อยจนชำนาญ คุ้นเคยกับเส้นทาง มีความรอบคอบ และมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุการชนน้อย
  • คนที่ขับคนไม่เก่งมาก และไม่ค่อยได้ขับรถไปไหนมาไหนบ่อย ๆ มักจะจอดรถไว้มากกว่านำออกไปขับขี่
  • คนที่ใช้รถยนต์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี (แผนประกันชั้น 1 อาจไม่รองรับ)
  • คนที่ต้องการซื้อประกันรถยนต์ราคาถูก แต่มีความคุ้มค่า

ประกันชั้น 3 กับ 3+ ต่างกันอย่างไร?

ประกันภัยชั้น 3+ จะช่วยให้คุณได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้น ในส่วนของการคุ้มครองและรับผิดชอบความเสียหายของรถผู้เอาประกัน เนื่องจากประกันรถยนต์ชั้น 3 จะไม่ครอบคลุมในส่วนนี้ โดยจะรับผิดชอบการซ่อมแซมความเสียหายให้แก่รถของคู่กรณีเท่านั้น 

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้าง?

  • คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันตัวของผู้เอาประกันภัย
  • คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ ทรัพย์สิน และการบาดเจ็บทางร่างกายของคู่กรณี

ประกันชั้น 2+ กับ 3+ ต่างกันอย่างไร?

ตามที่เราเห็นว่าประกันชั้น 3+ คือแผนการประกันภัยที่ไม่รับผิดชอบกรณีของรถถูกไฟไหม้ สูญหาย หรือเจอภัยพิบัติต่าง ๆ จึงทำให้ประกันภัยชั้น 2+ ดีกว่าตรงนี้นี่เอง เพราะประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะรับผิดชอบในกรณีที่รถยนต์ของผู้เอาประกันโดนไฟไหม้ ถูกภัยพิบัติจนได้รับความเสียหาย หรือโดนโจรกรรมด้วย ดังนั้น ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่จะพบเจอกับภัยพิบัติได้ง่าย ๆ ไม่มีความเสี่ยงที่จะโดนขโมยรถใด ๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำประกันภัยชั้น 2+ ที่มีราคาสูงกว่า สามารถทำประกันชั้น 3+ ได้เลย

3 สิ่งที่ต้องเช็กก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์

ก่อนที่ตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์ คุณควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือและประเมินแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับคุณเสียก่อน ไม่ควรเร่งรีบหรือเลือกแผนประกันภัยรถยนต์ที่มีราคาถูกแสนถูก เพราะมันอาจจะไม่คุ้มค่าและคุ้มครองไม่ตรงกับที่คุณต้องการก็เป็นได้ ซึ่ง 3 สิ่งที่คุณต้องเช็กก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์ คือ 

1. ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัย

ในปัจจุบันบริษัทประกันภัยรถยนต์มากมาย ทั้งบริษัทเก่าที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดี และบริษัทใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยเท่าไหร่นัก คุณควรตรวจสอบว่าบริษัทประกันภัยที่คุณสนใจอยู่มีการเปิดบริษัทมาจริงหรือไม่ เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีไหน มีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด มีรางวัล หรือผู้ใช้บริการจริงมาบอกต่อรีวิวหรือไม่ ถ้าคุณดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย ก็ถอยห่างให้ไกล และไปเลือกบริษัทประกันภัยที่ดูน่าเชื่อถือและได้มาตรฐานกว่าจะเป็นการดีที่สุด

2. ไลฟ์สไตล์ในการใช้งานรถของคุณ

เพราะพฤติกรรมในการใช้รถของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของความถี่ในการขับขี่ ความระมัดระวัง และความชำนาญด้วยเช่นกัน ทำให้บริษัทประกันมีการออกแผนประกันภัยออกมาหลายแผน เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน

ประเภทประกันภัย การคุ้มครองผู้เอาประกันภัย การคุ้มครองบุคคลภายนอก
รถยนต์ สูญหาย/ไฟไหม้ ชีวิต/ร่างกาย ทรัพย์สิน
ประกันภัยชั้น 1 ✔️ ✔️ ✔️ ✔️
ประกันภัยชั้น 2+ ✔️* ✔️ ✔️ ✔️
ประกันภัยชั้น 2 ✔️ ✔️ ✔️
ประกันภัยชั้น 3+ ✔️* ✔️ ✔️
ประกันภัยชั้น 3 ✔️ ✔️

*คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย ที่ชนกับยานพาหนะทางบกที่สามารถระบุคู่กรณีได้เท่านั้น

3. การบริการและศูนย์ซ่อมรถของบริษัทประกันภัย

ตรวจสอบว่าบริษัทประกันมีศูนย์ให้บริการหรืออู่ซ่อมรถในเครือใกล้ ๆ กับพื้นที่ที่เราพักอาศัย หรือเดินทางเป็นประจำหรือไม่ เพราะถ้าอยู่ใกล้ก็จะสะดวกต่อคุณอย่างมาก นอกจากนี้ ให้เช็กการบริการหลังการขายของบริษัทประกันภัยด้วย สามารถดูได้จากรีวิวของผู้ใช้บริการจริง หรือสังเกตจากช่องทางติดต่อฉุกเฉินว่ามีพร้อมบริการหรือไม่

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์

ยานพาหนะทางบก หมายถึงอะไร?

ยานพาหนะทางบกในความหมายของกรมธรรม์ประกันภัย หมายถึงรถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ โดยการใช้พลังงานเชื้อเพลิง (น้ำมัน ไฟฟ้า หรือก๊าซ) เช่น รถยนต์ รถตู้ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ รถไถ ฯลฯ

ซ่อมอู่ ซ่อมห้าง ซ่อมศูนย์ ต่างกันอย่างไร?

บางครั้งคุณอาจจะเห็นได้ว่าสถานที่ซ่อมรถนั้น ส่งผลต่อราคาของเบี้ยประกันด้วยเช่นกัน แล้วการซ่อมอู่ ซ่อมห้าง และซ่อมศูนย์นี้ แตกต่างกันอย่างไร? มาทำความเข้าใจในส่วนนี้กัน

การซ่อมอู่ คือ การซ่อมรถยนต์กับอู่ข้างนอก ซึ่งอู่ที่ว่านี้จะเป็นอู่ในเครือของบริษัทประกันภัย หรืออู่นอกเครือก็ได้เช่นกัน ข้อดีของการซ่อมอู่คืออยู่ใกล้บ้าน มีให้เลือกหลายแห่ง ราคาซ่อมถูกกว่า และทำให้ค่าเบี้ยประกันถูกกว่า ซึ่งข้อดีของการนำรถไปซ่อมที่อู่ในเครือ คือไม่ต้องสำรองจ่าย สามารถเอารถไปซ่อมได้เลย ส่วนข้อดีของการซ่อมอู่นอกเครือ คือ คุณสามารถเลือกได้ตามใจ แต่คุณก็ต้องสำรองจ่ายก่อน และนำบิลไปเบิกบริษัทประกันทีหลัง

การซ่อมห้าง คือ การซ่อมกับศูนย์รถยนต์ยี่ห้อนั้น ๆ (ตามยี่ห้อของรถยนต์ที่ทำประกันภัย) ข้อดีของการซ่อมกับศูนย์โดยตรงคือสามารถไว้วางใจได้ มีอะไหล่ครบครัน ไม่ต้องรออะไหล่นาน รับประกันคุณภาพของงาน แต่มีข้อเสียคือใช้เวลาซ่อมนาน เพราะต้องรอตามคิว และส่วนใหญ่มักจะมีราคาสูงกว่าการซ่อมกับอู่ข้างนอก

ค่าเสียหายส่วนแรกคืออะไร?

ค่าเสียหายส่วนแรกจะมีอยู่ 2 แบบ แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ค่าเสียหายส่วนแรกแบบบังคับจ่าย (Excess) คือ ผู้เอาประกันต้องจ่ายบริษัทประกัน เมื่อรถยนต์โดนสิ่งของตกกระทบใส่  โดนขีดข่วน หรือมีคนตั้งใจทำให้รถของคุณเสียหาย ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท
  2. ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจจ่าย (Deductible) คือ ค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายให้บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น แล้วคุณเป็นฝ่ายผิด ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท

สรุปประกัน 3+ คืออะไร? คุ้มค่าไหม?

และนี่คือข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+ ที่ทาง AroundBKK รวบรวมมาให้คุณ หลังจากที่คุณได้ทราบแล้วว่าประกัน 3+ คืออะไร ให้ความคุ้มครองส่วนใดบ้าง และแตกต่างจากประกันภัยรถยนต์ชั้นอื่น ๆ อย่างไร เราหวังว่าคุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่าประกันรถยนต์ชั้นไหนเหมาะสมกับรถยนต์ของคุณเป็นที่สุด หากถามว่าประกันชั้น 3+ คุ้มค่าไหม? บอกเลยว่าคุ้ม! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้ตัวเองดีว่าขับรถเก่ง ไม่ตกใจง่าย และไม่ได้ขับรถชนนู้นชนนี่ง่าย ๆ

Related Blog

ชี้เป้า 5 เคสแบบตั้งได้ (Kickstand) เพิ่มความสะดวกให้ชีวิต

GADGETS & LIFESTYLE

5 เครื่องดูดฝุ่นเสียงเบา ยี่ห้อไหนดีที่สุดในปี 2024

GADGETS & LIFESTYLE

รวม 10 คอมมูนิตี้มอลล์ ใกล้รถไฟฟ้า เดินชิล ๆ หลังเลิกงาน

GADGETS & LIFESTYLE