เคล็ดลับการมี Work life balance คืออะไร?
หลายคนปล่อยให้เวลาในการใช้ชีวิตส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน จนละเลยเรื่องของสุขภาพและความสมดุลในการใช้ชีวิต นานเข้าอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เกิดความเครียด รวมไปถึงปัญหากับคนรอบข้างหรือคนในครอบครัว เมื่อเกิดความไม่สมดุลในการใช้ชีวิตกับการทำงาน อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ภาวะหมดไฟในการทำงาน” ขึ้นมาได้ ดังนั้นเพื่อให้สามารถสร้างสมดุลทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตไปพร้อม ๆ กัน Work life balance คือ แนวคิดที่คนทำงานในปัจจุบันให้ความสำคัญกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งสุขกายและสุขภาพใจของตัวเองรวมไปถึงคนรอบข้างได้เช่นกัน
Work life balance คืออะไร?
Work life balance คือ แนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้มีความสอดคล้องและดำเนินควบคู่กันไปได้อย่างราบรื่น ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้เราสามารถจัดการกับเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการมีคติการทำงานแบบ Work life balance จะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปพร้อม ๆ กันได้นั่นเอง
5 เคล็ดลับเพื่อการมี Work life balance
แนวคิดที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้ชีวิตระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุลนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์กับตนเองและคนรอบข้างแล้ว ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อองค์กรอีกด้วย วันนี้เราจึงมี 5 เคล็ดลับเพื่อการมี Work life balance มาแนะนำ ดังนี้
1. พยายามทำงานเป็นทีม
เมื่ออยู่ในที่ทำงานก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่อาจจะได้รับมอบหมายงานเพิ่ม ได้รับคำไหว้วานจากเพื่อนร่วมงานที่ขอให้ช่วยเหลืองานต่าง ๆ หรือแม้แต่การชวนไปสังสรรค์ หากรู้สึกไม่สะดวกหรือทำแล้วมีผลกระทบกับเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่น เป็นงานที่อยู่นอกเหนือจากความรับผิดชอบมากเกินไป เป็นงานที่ไม่ถนัด หรือไม่สะดวกจริง ๆ ควรหาคำพูดเพื่อปฏิเสธอย่างเหมาะสม
และในทางกลับกัน หากต้องมีการทำงานเป็นทีมหรือได้รับมอบหมายงานที่เกินความสามารถ ควรปรึกษาผู้มีประสบการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นหัวหน้าทีมหรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อย่าพยายามฉายเดี่ยวโดยแบกรับทุกอย่างเอาไว้คนเดียวเป็นอันขาด
2. ไม่เอางานกลับไปทำที่บ้าน
ควรปล่อยให้การทำงานอยู่เพียงแค่ที่ทำงานเท่านั้น ไม่ควรนำงานกลับมาทำที่บ้าน และไม่ควรคิดเรื่องงานหลังเวลาเลิกงาน แม้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ สำหรับบางคน แต่เป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญและควรเริ่มฝึกทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะนอกจากจะทำให้เวลาพักผ่อนของคุณกลายเป็นเวลางานแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยที่ไม่ดีจนทำให้ไม่สามารถแบ่งเวลาเป็นของตัวเองได้
การนำงานมาทำที่บ้านรวมไปถึงการคิดเรื่องงานอยู่ตลอดเวลานั้น จะเข้าไปเบียดเบียนเวลาส่วนตัวในการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ทำให้สมองต้องทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความเครียดสะสม แต่ก็ยังมีวิธีคลายเครียดที่อาจทำหรือฝึกควบคู่กันไป เพื่อดูแลสุขภาพร่างกาย จิตใจ และส่งผลดีต่อผลลัพธ์ของงานได้อีกด้วย
3. ทำงานอดิเรกที่ชอบ
ควรจัดสรรเวลาเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองชอบหรือกำลังสนใจในขณะนั้น เพราะการได้ทำในสิ่งที่ชอบเป็นการเติมพลังให้กับการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย ส่งผลดีทางด้านจิตใจ ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจจากความเครียดหรือความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้น จึงควรหาเวลาเพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูซีรีส์ ปลูกต้นไม้ เล่นเกม ช้อปปิ้ง หรือหาของกินอร่อย ๆ เป็นต้น
4. ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ
เมื่อมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง เราก็จะพร้อมทำและเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการใช้ชีวิตส่วนตัว อีกทั้งการมีสุขภาพที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ส่งผลให้สภาพจิตใจของเราดีตามไปด้วย ดังนั้น ควรจัดสรรเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง และควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
5. สร้างกำลังใจด้วยคติการทำงาน
สำหรับใครที่กำลังรู้สึกหมดไฟในการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ค่อยดี ไม่มีเวลาให้กับคนในครอบครัว อาจลองปรับเปลี่ยนแนวทางการใช้ชีวิตด้วยแนวคิด Work life balance หรือการสร้างคติการทำงานที่ดีอย่างการนำเอาคำคมต่าง ๆ มาเป็นข้อคิดและสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกในด้านบวก ก็จะทำให้คุณมีกำลังใจในการทำงานและการใช้ชีวิตขึ้นมาได้ เช่น
- “เวลาและความสมดุลเป็น 2 สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้” – Catherine Pulsifer
- “โดยพื้นฐานแล้ว การดูแลตนเองก็คือการนำเอาความสมดุลกลับมาสู่ชีวิตที่ไม่สมดุลจากภาระหรือความรับผิดชอบที่มากเกินไป” – Robyn L. Gobin
- “สมดุลในชีวิตและการทำงานไม่ใช่สิทธิหรือผลประโยชน์ที่ทางบริษัทสามารถมอบให้ได้ คุณต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” – Matthew Kelly
- “คุณจะไม่มีวันรู้สึกพอใจกับงานอย่างแท้จริง จนกว่าคุณจะรู้สึกพอใจกับชีวิต” – Heather Schuck
- “ให้นำเอาความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความน่าอัศจรรย์ ความเป็นอิสระที่มีในวันหยุดมาไว้ในการทำงานและวันหยุดของคุณอยู่เสมอ” – Rasheed Ogunlaru
- “คนส่วนใหญ่ไล่ตามความสำเร็จในที่ทำงานเพราะคิดว่าจะทำให้พวกเขามีความสุข แต่ความจริงก็คือความสุขในที่ทำงานต่างหากที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ” – Alexander Kjerulf
- “คุณสามารถมีทั้งหมดได้ แต่คุณไม่สามารถมีทั้งหมดได้ในครั้งเดียว” – Oprah Winfrey
ข้อดีของการมี Work life balance คือ
- ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้นแบบรอบด้าน ทั้งในเรื่องการทำงานและชีวิตส่วนตัว
- ช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกับคนในที่ทำงานหรือคนใกล้ตัว
- ช่วยให้คุณมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดีขึ้น
- สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้คุณเห็นคุณค่าของเวลาและเห็นคุณค่าในตัวเองได้มากยิ่งขึ้นด้วย
ดังนั้น Work life balance คือ การรู้จักรักษาสมดุลในชีวิตทั้งในเรื่องของการทำงาน การพักผ่อน และการใช้ชีวิตให้มีความสอดคล้องไปด้วยกันได้ เพราะในแต่ละวันทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องจัดสรรเวลาให้เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิตของตัวเองด้วย ส่งผลให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งองค์กรหรือนายจ้างก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องของ Work life balance ของพนักงานด้วยเช่นกัน เพราะจะยิ่งทำให้พวกเขามีความสุขกับการทำงาน ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของงาน เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนและสร้างศักยภาพให้กับองค์กรได้ในระยะยาวอีกด้วย